คือ การฉีดสลายไขมันส่วนเกิน ปัญหาไขมันส่วนเกิน จัดเป็นปัญหาด้านความงามของคนวัยตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป เพราะการสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่พึงประสงค์ เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ในการที่จะโชว์สรีระต่อหน้าคนอื่นๆ
สาเหตุหลักของการเกิดไขมันส่วนเกิน
ก็มาจากการรับประทานอาหารที่เกินพอดี โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลลอรี่สูงๆ เช่น กลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน ฯลฯ โดยไม่ได้สัดส่วนกับการเผาผลาญไขมัน เช่น จากการออกกำลังกาย โยคะ แอโรบิค ฯลฯ และเมื่อระยะเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไขมันส่วนเกิน ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ไขมัน ก็จะอ้วนพองใหญ่และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูปร่างขยายออก หรือใหญ่ขึ้นเฉพาะบางส่วนได้ วงการแพทย์ด้านความงาม ก็เลยมีหน้าที่แก้ไขปัญหาดังกล่าวของคนไข้
Mesofat คือ วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกิน วิธีหนึ่ง ด้วยการที่แพทย์จะใช้เข็มฉีดยา ฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ โดยปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เช่น อาจจะใช้ 0.2-0.5 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม. โดยเทคนิค เมโสเธอราพี (Mesotherapy) นั่นเอง
โดยพบว่าในช่วงแรกๆ ของการสลายไขมันด้วยวิธีนี้ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะตัวยาที่นำมาฉีดในช่วงแรกๆ ค่อนข้างจะได้ผลไม่ดีนัก ได้ผลช้า และมีผลข้างเคียงมาก เจ็บ และมีรอยฟกช้ำหลังฉีดค่อนข้างมาก จึงได้มีการพัฒนามาฉีด Carboxytherapy สลายไขมันแทน เพราะแม้จะเจ็บมากกว่า แต่ได้ผลกว่า และรอยฟกช้ำไม่ค่อยมีมากนัก แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการพัฒนาตัวยาฉีดสลายไขมัน สำหรับทำ Mesofat ให้สะดวก และทันสมัยยิ่งขึ้น ได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และผลข้างเคียง เรื่อง การฟกช้ำหลังฉีด น้อยลง ใช้เวลาในการทำน้อยลง เพียง 2 อาทิตย์ต่อครั้ง ทำให้การทำ Carboxytherapy อาจจะเป็นทางเลือกหลังๆ เพราะเจ็บกว่า ใช้เวลาทำนานกว่า และต้องทำบ่อยกว่าคือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง กลไกของการสลายไขมันด้วยการฉีดแบบ Mesofat พบว่า ตัวยาจะไปทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ (ส่วนมาก) และทางอุจจาระ
ตำแหน่งที่นิยมทำการสลายไขมันด้วยวิธี Mesofat ได้แก่ ไขมันที่แก้ม เพื่อปรับหน้าให้เรียว ควบคู่กับการฉีดโบทอกซ์หน้าเรียว,ไขมันส่วนเกินที่คาง,ไขมันส่วนเกินที่ต้นแขน ต้นขา สะโพก พุง หน้าท้อง ไขมันที่เต้านม (Gynecomastia) และไขมันที่น่อง (โดยการเสริมการฉีดลดน่องด้วยสารโบทอกซ์ )
Mesofat นิยมฉีดลดไขมันที่ใดบ้าง
– ลดไขมันที่แก้มให้หน้าเรียวเล็ก
– ลดไขมันที่คาง(เหนียง)
– ลดไขมันที่ต้นแขน ต้นขา
– ลดไขมันที่พุง หน้าท้อง
– ลดไขมันที่จมูก(บาน) ทำให้เล็กลง
– ลดไขมันที่หนังตาบนหย่อนคล้อย
– ลดไขมันที่น่อง
ข้อห้ามในการทำ Mesofat มีดังนี้
– สตรีมีครรภ์
– คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
– คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
– คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
– คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน
ข้อควรปฏิบัติหลังทำ Mesofat มีดังนี้
– ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายด้วยการฉีด Mesofat จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยขับไขมันส่วนเกินที่สลายให้ออกจากร่างกายได้มากขึ้น
– ช่วงที่เว้นการฉีด Mesofat แนะนำให้ทำ RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้มากขึ้น ลดการหย่อนคล้อยหลังฉีด โดย หลักการทำงานของ RF นอกจากนี้ อาจจะเสริมด้วยการตีสลายไขมันด้วยเครื่อง Slimming Machine และการอบสลายไขมันด้วยตู้อบอินฟาเรด
– อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 1-3 วัน ดังนั้น ควรเลี่ยงการ การเข้าอบซาวน่า การนวด การดื่มอัลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเม้นต์ใดๆ หลังทำประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
– ควรออกกำลังกายเบาๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ หรือแอโรบิค อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ และรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่
– เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก เพราะการสลายไขมันด้วยการทำ Mesofat จะไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ปรับพฤติกรรมนิสัยการรับประทานอาหาร และมีวินัยในการควบคุมน้ำหนัก ให้มากขึ้น
พบว่าในคนไข้บางคน หลังจากฉีดลดไขมันเฉพาะที่แล้ว โดยเฉพาะที่คาง พุง หรือท้องแขน เมื่อไขมันลดได้เกือบหมดแล้ว แต่ผิวหนังยังมีการหย่อนคล้อย การทำ RF + การฉีด Mesofirming จะช่วยให้การหย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้เร็วขึ้น